การหายใจ(Respiration) คือกระบวนการสลายสารอาหาร เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน โดยอาศัยการควบคุมของเอนไซม์ภายในเซลล์
การหายใจแบบใช้ออกซิเจน เป็นกระบวนการสร้าง ATP จากโมเลกุลของกลูโคสได้มากที่สุดถึง 36 -38 โมเลกุล หรือมากกว่าต่อกลูโคส 1 โมเลกุล
การหายใจแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic respiration) เป็นการสลายสารอาหารโดยใช้ออกซิเจนเข้าร่วมปฏิกิริยา ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
1. ไกลโคลิซีส (Glycolysis)
2. การสร้างอะซิติลโคเอนไซม์ เอ หรือการออกซิเดชัน กรดไพรูวิก (Pyruvate oxidation หรือ pyruvate dehydrogenase complex pathway)
3. วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle)
4. การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron transport system)

ภาพที่ 1 แสดงตำแหน่งที่เกิดขั้นตอนทั้ง 4 ขั้นตอนของการสลายสารอาหารระดับเซลล์
ที่มา : www.dwm.ks.edu.tw
1. ไกลโคลิซีส (Glycolysis)
กระบวนการนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า EMP Pathway ซึ่งเรียกตามชื่อของผู้ริเริ่มศึกษา
กระบวนการนี้ 3 คน คือ Emden , Meyerhof, Parnas กระบวนการไกลโคลิซีสเป็นกระบวนการสลายน้ำตาลกลูโคส(C6H12O6) ซึ่งมีคาร์บอน 6 อะตอมไปเป็นกรดไพรูวิก (C3H4O3) ซึ่งมีคาร์บอน 3 อะตอม จำนวน 2 โมเลกุล เกิดที่ไซโทพลาสซึมของเซลล์ที่เรียกว่าไซโทซอล (Cytosol) มีหลายขั้นตอนแต่ละขั้นตอนมีเอนไซม์ต่างชนิดกันเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา
เริ่มต้นด้วยการเติมหมู่ฟอสเฟตให้กลูโคส ทำให้กลูโคสมีค่าพลังงานศักย์สูงขึ้น ในการฟอสโฟรีเลชันกลูโคส 1 โมเลกุล ต้องใช้พลังงาน 2 ATP
ฟอสโฟรีเลชัน หมายถึง การรวมตัวของหมู่ฟอสเฟต (Pi) กับสารแล้วทำให้สารนั้นมีค่าพลังงานศักย์สูงขึ้น เช่น
ADP + Pi " ATP
กลูโคส + Pi " กลูโคส- Pi
พลังงานที่ปล่อยออกมาจากการสลายกลูโคสไปเป็นกรดไพรูวิก สามารถสังเคราะห์ ATP ได้ 4 โมเลกุล และไฮโดรเจนที่ประกอบด้วยอิเล็กตรอนที่มีค่าพลังงานศักย์สูงอีก 4 อะตอม โดยมี NAD มารับโปรตอนและอิเล็กตรอน เนื่องจากอะตอมของไนโตรเจนมีประจุบวก จึงเขียน NAD+ โดย 1 โมเลกุลของ NAD+ รับไฮโดรเจนได้ 2 อะตอม และรับอิเล็กตรอนได้ 2 อะตอม
ดังนี้
NAD+ + 2H+ + 2e- " NADH + H+
NADH + H+ เป็นสารรีดิวซ์ เพราะได้รับอิเล็กตรอน ถ้าสูญเสียอิเล็กตรอนพร้อมไฮโดรเจน 2 อะตอมจะกลายเป็น NAD+

ภาพที่ 2 แสดงขั้นตอนการสลายน้ำตาลให้เป็นกรดไพรูวิก
สมการรวบยอดในปฏิกิริยาไกลโคลิซีส
C6H12O6 + 2 ADP + 2Pi + 2 NAD+ " 2 C3H4O3 + 2ATP + 2NADH + H+
สรุปลักษณะกระบวนการและผลลัพธ์สำคัญของไกลโคลิซีส
1. ไกลโคลิซีสเป็นกระบวนการสลายกลูโคสให้กลายเป็นกรดไพรูวิก (Pyluvic acid: C3H4O3) หรือไพรูเวต(Pyluvate) ซึ่งมีคาร์บอน 3 อะตอม 2 โมเลกุล
2. เกิดขึ้นในไซโทพลาสซึมของเซลล์สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทุกสภาวะไม่ว่าจะใช้ O2 หรือไม่ใช้ O2 หายใจก็ตาม
3. ถ้าเริ่มจากกลูโคส ( C6H12O6 ) 1 โมเลกุล จะได้ผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ
3.1 ได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล (2 C3H4O3 )
3.2 เกิด ATP จากกระบวนการ 4 ATP ใช้ในการฟอสโฟรีเลชันไป 2 ATP เพราะฉะนั้นจึงได้พลังงานสุทธิ 2 ATP
3.3 เกิดไฮโดรเจน (H) 4 อะตอม โดยมี NAD+ มารับ
2 NAD+ + 4 H+ + 2e- " 2 NADH + H+
ขั้นตอนนี้เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างไกลโคลิซีสกับวัฎจักรเครบส์ มีกรดไพรูวิกเป็นสารตั้งต้นเกิดขึ้นที่
ของเหลวในไมโทคอนเดรีย โดยกรดไพรูวิกแต่ละโมเลกุลจะทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์ เอ (Co-enzyme A)ได้เป็น
อะซิติลโคเอนไซม์ เอ (Acetyl Co A) ซึ่งแต่ละโมเลกุลมีคาร์บอน 2 อะตอม และคาร์บอนไดออกไซด์ 1โมเลกุล และมีการปล่อยไฮโดรเจน 2 อะตอม โดยมี NAD+ (ตัวนำอิเล็กตรอน) มารับและเปลี่ยนไปเป็น NADH + H+ แล้วเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน

ภาพที่ 3 แสดงขั้นตอนกรดไพรูวิกทำปฏิกิริยากับโคเอนไซม์เอได้เป็นแอซีติลโคเอนไซม์เอ
ที่มา : http://www.micro.siu.edu/micr201/images/PyruvateDhase
สมการรวบยอดในปฏิกิริยาขั้นตอนนี้
2 C3H4O3 + 2 NAD+ +2 Coenzyme A " 2 C2H3O - S – Co A + 2NADH + H++ 2CO2
สรุปลักษณะกระบวนการและผลลัพธ์สำคัญในการสร้างอะซิติลโคเอนไซม์ เอ
1. กรดไพรูวิกแต่ละโมเลกุลจะถูกเปลี่ยนเป็นอะซิติลโคเอนไซม์ เอ โดยกลุ่มของเอนไซม์ Pyruvate dehydrogenase complex
2. ปฏิกิริยาการเปลี่ยนกรดไพรูวิกแต่ละโมเลกุล ไปเป็นอะซิติลโคเอนไซม์ เอ นี้ ได้ผลลัพธ์ที่สำคัญ คือ
2.1 เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ 1 โมเลกุล จากแต่ละปฏิกิริยา กลูโคส 1 โมเลกุล ทำให้ได้กรดไพรูวิก
2 โมเลกุล เพราะฉะนั้นจึงได้ผลลัพธ์เป็นคาร์บอนไดออกไซด์รวมทั้งสิ้น 2 โมเลกุล/ 1 โมเลกุลของ
กลูโคส
2.2 เกิดไฮโดรเจน 2 อะตอม จากแต่ละปฏิกิริยา ซึ่งรวมกับ NAD+ กลายเป็น NADH + H+ 1 โมเลกุล
เริ่มต้นจากกลูโคส 1 โมเลกุล ได้กรดไพรูวิก 2 โมเลกุล เพราะฉะนั้นจึงได้ไฮโดรเจนทั้งสิ้น
4 อะตอม หรือ NADH + H+ 2 โมเลกุล
3. วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle)
วัฏจักรเครบส์ (Krebs cycle) ตั้งตามชื่อของเซอร์ ฮันส์ เครบส์ (Sir Hans Krebs)
นักเคมีชาวอังกฤษเป็นผู้ค้นพบวัฏจักรนี้ในปี ค.ศ. 1934 วัฏจักรนี้ยังมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น วัฏจักรของกรดซิตริก(Citric acid cycle) หรือวัฏจักรของกรดไทรคาร์บอกซิลิก (Tricarboxylic acid cycle = TCA cycle) ปฏิกิริยาในช่วงนี้มีลักษณะเป็นวัฏจักรเกิดขึ้นบริเวณเมทริกซ์ (Matrix) ของไมโทคอนเดรีย ต้องอาศัยเอนไซม์และโคแฟกเตอร์หลายชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารพลังงานสูงให้กับเซลล์จำนวนมาก
เริ่มวัฏจักรเครบส์ดังนี้อะซิติลโคเอนไซม์ เอ 1 โมเลกุล ทำปฏิกิริยากับ H2O แล้วโคเอนไซม์ เอ จะแยกเป็นอิสระ จะเหลือสารที่มีคาร์บอน 2 อะตอม (C2H4O2) สารที่มีคาร์บอน 2 อะตอม จะทำปฏิกิริยากับสารที่มีคาร์บอน 4 อะตอม คือกรดออกซาโลอะซิติก (Oxaloacetic acid) ซึ่งมีอยู่แล้วภายในเซลล์ ได้เป็น กรดซิตริก ซึ่งมีคาร์บอน 6 อะตอม
ต่อมากรดซิตริกจะสลายตัวเป็นสารที่มีจำนวนคาร์บอน 5 อะตอมคือกรดแอลฟาคีโตกลูตาริก (α Ketoglultaric acid ) โดยให้ CO2 ออกมา 1 โมเลกุล และให้ไฮโดรเจน ออกมา 2 อะตอม โดยสารที่มารับ H+ อะตอม คือ NAD+
NAD+ + 2H+ + 2e- " NADH + H+
กรดแอลฟาคีโตกลูตาริกทำปฏิกิริยากับน้ำ แล้วสลายตัวให้สารที่มีคาร์บอน 4 อะตอมคือกรดซักซินิก (Succinic acid) โดยให้ CO2 ออกมา 1 โมเลกุล และให้ไฮโดรเจน ออกมา 2 อะตอม โดยมี NAD+ มารับ กลายเป็น NADH + H+ มีการปลดปล่อยพลังงานออกมาสร้าง GTP ได้ 1 โมเลกุล (เทียบเท่ากับ ATP 1 โมเลกุล)
กรดซักซินิก จะเปลี่ยนเป็นกรดฟูมาริก(Fumaric) ให้ไฮโดรเจน ออกมา 2 อะตอม โดยมี FAD มารับ กลายเป็น FADH2
FAD + 2H+ + 2e- " FADH2
กรดฟูมาริกทำปฏิกิริยากับน้ำ ได้สารที่มีคาร์บอน 4 อะตอม คือ กรดมาลิก(Malic acid)
กรดมาลิกจะเปลี่ยนเป็นกรดออกซาโลอะซิติกโดยปล่อยไฮโดรเจน ออกมา 2 อะตอม และมี NAD+ มารับ กลายเป็น NADH + H+ ดังวัฏจักรต่อไปนี้

ภาพที่ 4 วัฏจักรเครบส์ หรือวัฏจักรของกรดซิตริกแสดงขั้นตอนการเกิดสารต่าง ๆ
ที่มา : http://www.micro.siu.edu/micr201/images/PyruvateDhase
สมการรวบยอดในวัฏจักรเครบส์
2CH3COSCoA + 6 NAD++ 2FAD + 2GDP + 2Pi + 6H2O " 4 CO2 + 6NADH + 6H+ + 2FADH2 + 2GTP + 2CoASH
สรุปลักษณะกระบวนการและผลลัพธ์สำคัญของวัฏจักรเครบส์
1. เกิดขึ้นที่ของเหลว (Matrix) ในไมโทคอนเดรีย
2. ผลลัพธ์ที่สำคัญของปฏิกิริยามีดังนี้ (เริ่มต้นจากลูโคส 1โมเลกุลหรืออะซิติลโค เอ 2 โมเลกุล)
2.1 เกิดพลังงานอิสระเก็บไว้ในรูปของGTP (Guanosine triphosphate) 2 โมเลกุล เมื่อถูก
ไฮโดรลิซีสแล้วจะให้พลังงานออกมาเท่ากับ 1 ATP จึงอาจถือว่าให้พลังงานเท่ากับ 2 ATP ได้
2.2 เกิดไฮโดรเจน 16 อะตอม
โดย H 12 อะตอม มี NAD+ มารับกลายเป็น 6 (NADH + H+)
และ H 4 อะตอม มี FAD มารับกลายเป็น 2 FADH2
โมเลกุล NADH + H+ และ FADH2 ที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน เพื่อออกซิเดชันให้ได้ ATP ต่อไป
2.3 เกิด CO2 ทั้งสิ้น 4 โมเลกุล
ตารางที่ 1 สรุปผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนของการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล
ขั้นตอน
ผลิตภัณฑ์
|
CO2
|
ATP
|
NADH
|
FADH2
|
Glycolysis
|
0
|
2
|
2
|
0
|
Acetyl Co A synthesis
|
2
|
0
|
2
|
0
|
Krebs cycle
|
4
|
2
|
6
|
2
|
สรุปรวมผลิตภัณฑ์ทั้งหมด
|
6
|
4
|
10
|
2
|
4. การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron transport system หรือ ETS)
การถ่ายทอดอิเล็กตรอน หรือลูกโซ่การหายใจเกิดขึ้นที่เยื่อชั้นในของไมโทคอนเดรียหรือ
คริสตี (Cristae) จะเกิดควบคู่กันไปทุกขั้นตอน คือถ้ามีไฮโดรเจนเกิดขึ้นในทุกกระบวนการ ไฮโดรเจนจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนทันที ในการสังเคราะห์ ATP อิเล็กตรอนที่หลุดออกจากโมเลกุลของสารอาหารจะมีสารมารับอิเล็กตรอน เรียกว่า ตัวนำอิเล็กตรอน (Electron carrier) แล้วถ่ายทอดไปยังตัวนำอิเล็กตรอนตัวอื่นขณะที่มีการถ่ายทอดอิเล็กตรอน จะมีพลังงานปล่อยออกมาจากอิเล็กตรอน พลังงานเหล่านั้นนำไปสังเคราะห์ ATP กระบวนการนี้จึงเกี่ยวข้องกับสาร 2 ประเภท คือ
1. สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน
2. สารที่เป็นตัวรับพลังงานจากการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน
ในการสลายโมเลกุลของสารอาหาร อิเล็กตรอนจะหลุดออกมาจากโมเลกุลของสารอาหารพร้อมด้วยโปรตอนในรูปอะตอมของไฮโดรเจน ตัวนำอิเล็กตรอนบางชนิดสามารถรับอิเล็กตรอนพร้อมด้วยโปรตอน แต่ตัวนำอิเล็กตรอนบางชนิดรับเฉพาะอิเล็กตรอน ไม่ว่าจะเป็นการรับในรูปของอะตอมไฮโดรเจนหรือรับเฉพาะอิเล็กตรอนก็ตาม การรับอิเล็กตรอนทำให้ตัวอิเล็กตรอนถูกรีดิวซ์ เช่น สารที่เป็นตัวนำอิเล็กตรอน คือ นิโคตินาไมด์ อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์(NAD+ )สามารถรับได้ทั้งโปรตอนและอิเล็กตรอน ดังสมการ
NAD+ + 2H+ + 2e- " NADH + H+
ฟลาวิน อะดีนีน ไดนิวคลีโอไทด์ (FAD) รับได้ทั้งโปรตอนและอิเล็กตรอน ดังสมการ
FAD + 2H+ + 2e- " FADH2
ระบบไซโตโครม (Cytochrome) ทั้งหมด รับได้เฉพาะอิเล็กตรอน โดยเฉพาะออกซิเจนเป็นตัวรับอิเล็กตรอนตัวสุดท้ายแล้วเกิดเป็นน้ำขึ้น
2H+ + 2e- +
O2 " H2O

ตัวกลางรับและถ่ายทอดอิเล็กตรอนในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน เรียงตามลำดับ คือ
NAD+ "FAD " Cytochrome b " Cytochrome c " Cytochrome a " O2

ภาพที่ 5 แสดงขั้นตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน หรือลูกโซ่การหายใจ
ที่มา : http://www.classes.midlandstech.edu/carterp/Courses/bio2
สารที่เป็นตัวรับพลังงานจากการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
สารที่เป็นตัวรับพลังงานจากการถ่ายทอดอิเล็กตรอน คือ ADP +Pi "ATP
ระบบการถ่ายทอดอิเล็กตรอน (Electron transport system : ETS) หรือลูกโซ่การหายใจ(Respiration chain) NADH + H+ และ FADH2 ในสภาพรีดิวซ์ซึ่งเป็นตัวรับอิเล็กตรอนและไฮโดรเจนจากการสลายกลูโคส ตั้งแต่ขั้นไกลโคลิซีสถึงวัฏจักรเครบส์ NADH + H+ และ FADH2 จะถ่ายทอดอิเล็กตรอนของไฮโดรเจนไปยังตัวรับอิเล็กตรอนตัวอื่นๆ คือโคเอนไซม์ Q (Co.Q) ไซโตโครม b ไซโตโครม c ไซโตโครม a - a 3 และแก๊สออกซิเจนตามลำดับ ในขณะที่มีการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะมีการปล่อยพลังงานออกมาด้วย ซึ่งพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาถ้าหากเกิน 7.3 กิโลแคลอรี/โมล ก็สามารถสังเคราะห์ ATP จาก ADP และ Pi ได้ จากการศึกษาพบว่าการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจาก NADH + H+ " FADH2 จะมีพลังงานออกมา 12.2 กิโลแคลอรี/โมล จึงสร้าง ATP ได้ เช่นเดียวกันการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจาก Cytochrome b " Cytochrome c มีการปลดปล่อยพลังงานออกมา 9.9 กิโลแคลอรี/โมล และจาก Cytochrome a " Cytochrome a 3 ไปยังแก๊สออกซิเจนมีปล่อยพลังงานออกมาถึง 23.8 กิโลแคลอรี/โมล ดังนั้นจึงสามารถสังเคราะห์ ATP จาก ADP และ Pi ได้เช่นกัน พลังงานที่เหลือจากการสังเคราะห์ ATP ก็จะปลดปล่อยออกมาในรูปของพลังงานความร้อน ทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
การถ่ายทอดอิเล็กตรอนเป็นปฏิกิริยาออกซิเดชันและรีดักชัน กล่าวคือมีทั้งการให้และการรับอิเล็กตรอนเกิดขึ้น
ถ้าNAD+ เป็นสารตัวแรกที่มารับอิเล็กตรอน เมื่อการถ่ายทอดอิเล็กตรอนสิ้นสุดลงจะสังเคราะห์ ATP ได้ 3 โมเลกุล
ถ้า FAD เป็นสารตัวแรกที่มารับอิเล็กตรอน เมื่อการถ่ายทอดอิเล็กตรอนสิ้นสุดลงจะสังเคราะห์ ATP ได้2 โมเลกุล
สรุปลักษณะกระบวนการและผลลัพธ์สำคัญของระบบการถ่ายทอดอิเล็กตรอน
1. เกิดขึ้นที่เยื่อหุ้มชั้นในของไมโทคอนเดรียหรือครีสตี โดยเกิดควบคู่กับปฏิกิริยา 3 ขั้นตอนแรก
2. O2 จะเป็นตัวรับโปรตอนและอิเล็กตรอนเกิดเป็นน้ำ ทั้งสิ้น 12 โมเลกุล/1โมเลกุล
ของกลูโคส
3. การถ่ายทอดอิเล็กตรอนของตัวนำอิเล็กตรอนไปตามลำดับ ดังนี้
NADH + H+ " FADH2 " Cytochrome b " Cytochrome c " Cytochrome a " Cytochrome a 3 " O2
4. ขั้นตอนที่มีพลังงานสูงในการสร้าง ATP คือ
4.1 NADH + H+ " FADH2
4.2 Cytochrome b " Cytochrome c
4.3 Cytochrome a3 " แก๊สออกซิเจน
5. จากปฏิกิริยาในขั้นตอนต่าง ๆ จะได้อะตอมของไฮโดรเจนที่ผ่านเข้ามาในกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอน รวมทั้งสิ้น 24 อะตอม
5.1 จากไกลโคลิซีส 4 อะตอม
5.2 จากการสร้างอะซิทิลโคเอนไซม์ เอ 4 อะตอม
5.3 จากวัฏจักรเครบส์ 16 อะตอม ( จาก 6 NADH2 และ 2 FAD H2)
6. NADH + H+ เมื่อผ่านกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะได้พลังงาน = 3 ATP
FADH2 เมื่อผ่านกระบวนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนจะได้พลังงาน = 2 ATP
7. เป็นขั้นตอนที่มีพลังงานเกิดขึ้นมากที่สุดในเซลล์
7.1 จากไกลโคลิซีส 2 NADH + H+ = 2 × 3 = 6 ATP
7.2 จากการสร้างอะซิทิลโคเอนไซม์ เอ 2 NADH + H+ = 2 ×3 = 6 ATP
7.3 จากวัฏจักรเครบส์ 6 NADH + H+ = 6 × 3 = 18 ATP
2 FAD H2 = 2 × 2 = 4 ATP
รวมทั้งสิ้น = 34 ATP
อ้างอิงจาก : http://www.pw.ac.th/main/website/sci/6_main.html
คำถามหลังอ่านจบ
1.จากการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล ผลผลิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการไกรโคไลซิสคืออะไร
2.กรดไพรูวิกถูกสลายเป็นแอซิติลโคเอนไซม์ เอ ที่บริเวณใด
3.การเปลี่ยนกรดไพรูวิกไปเป็นแอซิติลโคเอนไซม์ เอ จะมีการปลดปล่อยพลังงานในรูปใด
4.เซลล์ในอวัยวะใดมีกิจกรรมของเอนไซม์ในวัฎจักรเครบส์สูงที่สุด
5.ถ้าเซลล์นำ acety CoA จำนวน 10 โมเลกุล เข้าสู่ไมโตคอนเดรีย จะผลิต ATP ได้จำนวนเท่าใด
คำถามหลังอ่านจบ
1.จากการสลายกลูโคส 1 โมเลกุล ผลผลิตที่เกิดขึ้นในกระบวนการไกรโคไลซิสคืออะไร
2.กรดไพรูวิกถูกสลายเป็นแอซิติลโคเอนไซม์ เอ ที่บริเวณใด
3.การเปลี่ยนกรดไพรูวิกไปเป็นแอซิติลโคเอนไซม์ เอ จะมีการปลดปล่อยพลังงานในรูปใด
4.เซลล์ในอวัยวะใดมีกิจกรรมของเอนไซม์ในวัฎจักรเครบส์สูงที่สุด
5.ถ้าเซลล์นำ acety CoA จำนวน 10 โมเลกุล เข้าสู่ไมโตคอนเดรีย จะผลิต ATP ได้จำนวนเท่าใด
เฉลยของคำถามการหายใจระดับเซลล์หลังอ่านจบ
ตอบลบ1. 2pyruvate + 2ATP +2NADH
2. ของเหลวในไมโทคอนเดรีย
3. NADH
4. สมอง
5. 120 โมเลกุล